Month: พฤศจิกายน 2020

เส้นทางที่ยาวไกล

ขณะที่เพื่อนร่วมงานได้เลื่อนตำแหน่งทีละคน เบนจามินได้แต่รู้สึกอิจฉานิดหน่อย “ทำไมคุณยังไม่ได้เป็นผู้จัดการสักที คุณสมควรได้เป็นนะ” เพื่อนๆ บอกกับเขา แต่เบนตัดสินใจมอบงานของเขาไว้กับพระเจ้า “ถ้านี่เป็นแผนการของพระเจ้าสำหรับผม ผมก็แค่ทำงานของผมให้ดี” เขาตอบ

หลายปีต่อมาเบนได้เลื่อนตำแหน่งในที่สุด ถึงตอนนั้นประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้นช่วยให้เขาทำงานด้วยความมั่นใจและได้รับความเคารพจากผู้ใต้บังคับบัญชา ขณะเดียวกันเพื่อนของเขาบางคนยังคงมีปัญหากับความรับผิดชอบในการควบคุมดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาเพราะพวกเขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งก่อนที่จะพร้อม เบนตระหนักว่าพระเจ้าทรงพาเขาไปใน “เส้นทางที่ยาวไกล” เพื่อเขาจะได้รับการเตรียมให้พร้อมสำหรับหน้าที่ของเขา

เมื่อพระเจ้าทรงนำชนชาติอิสราเอลออกจากประเทศอียิปต์ (อพย.13:17-18) พระองค์ทรงเลือกเส้นทางที่ไกลกว่า เพราะ “ทางลัด” ไปคานาอันเต็มไปด้วยความเสี่ยง นักวิเคราะห์พระคัมภีร์ตั้งข้อสังเกตว่า ระยะทางที่ไกลกว่าให้เวลาพวกเขามากขึ้นในการทำให้พวกเขาแข็งแกร่งทั้งด้านร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณสำหรับสงครามที่จะตามมา

หนทางที่สั้นที่สุดไม่ได้ดีที่สุดเสมอไป บางครั้งพระเจ้าทรงอนุญาตให้เราใช้เส้นทางที่ไกลกว่าในชีวิต ไม่ว่าในด้านอาชีพหรือความอุตสาหะอื่นๆ เพื่อเตรียมเราให้พร้อมสำหรับการเดินทางที่รออยู่ข้างหน้า เมื่อทุกอย่างดูเหมือนจะเกิดขึ้นไม่รวดเร็วพอ เราสามารถวางใจในพระเจ้า ผู้ทรงนำและชี้ทางให้แก่เรา

ได้กลับบ้าน

วอลเตอร์ ดิ๊กสันมีเวลาฉลองน้ำผึ้งพระจันทร์ห้าวันก่อนถูกส่งไปร่วมรบในสงครามเกาหลี ไม่ถึงหนึ่งปีหลังจากนั้น ทหารพบเสื้อแจ็คเก็ตของดิ๊กสันในสนามรบโดยมีจดหมายของภรรยาเขาในกระเป๋าเสื้อ กรมทหารแจ้งต่อภรรยาสาวของเขาว่าสามีเธอเสียชีวิตในหน้าที่ ในความเป็นจริงดิ๊กสันยังมีชีวิตอยู่และใช้ชีวิตสองปีครึ่งในฐานะเชลยสงคราม ทุกเวลาที่เขาตื่น เขาวางแผนที่จะหนีกลับบ้าน ดิ๊กสันหนีออกมาได้ห้าครั้งแต่ก็ถูกจับตัวกลับไปทุกครั้ง ในที่สุดเขาก็ได้รับอิสรภาพ คุณจินตนาการถึงความตกใจได้เมื่อเขากลับถึงบ้าน!

ประชากรของพระเจ้ารู้จักการถูกกักขัง การย้ายถิ่นไปไกล และความคิดถึงบ้านเป็นอย่างดี เพราะการที่พวกเขากบฏต่อพระเจ้าจึงทำให้ถูกเนรเทศ ทุกเช้าพวกเขาตื่นขึ้นพร้อมกับความโหยหาที่จะกลับไป แต่พวกเขาไม่อาจช่วยตัวเองได้ ขอบพระคุณพระเจ้า เพราะพระองค์สัญญาว่าจะไม่ลืมพวกเขา “เราจะนำเขากลับมาเพราะเราสงสารเขา” (ข้อ 6) พระองค์ทรงช่วยพวกเขาจากความคิดถึงบ้านอันปวดร้าว...ไม่ใช่เพราะความบากบั่นของพวกเขา แต่โดยพระเมตตาของพระองค์ “เราจะผิวปากเรียกเขา ...และเขาจะ...กลับมา” (ข้อ 8-9)

ความรู้สึกเหมือนถูกเนรเทศของพวกเราอาจเกิดจากการตัดสินใจที่ผิดพลาด หรือความยากลำบากที่อยู่เหนือการควบคุมของเรา ไม่ว่าด้วยเหตุใดพระเจ้าไม่เคยลืมพวกเรา พระองค์รู้ถึงความปรารถนาของเราและจะทรงเรียกเรา และหากเราตอบพระองค์ เราก็จะได้กลับไปหาพระองค์ ซึ่งคือการได้กลับบ้าน

ชัยชนะของการให้อภัย

แม็กรู้สึกหมดหวังขณะต่อสู้กับการติดยาเสพติดและบาปทางเพศ ความสัมพันธ์ที่เขาให้คุณค่ากำลังระส่ำระสาย และมโนธรรมกำลังเฆี่ยนตีเขาอยู่ ในท่ามกลางความทุกข์ เขาพบตัวเองอยู่ที่โบสถ์เพื่อขอคุยกับศิษยาภิบาลโดยไม่ได้นัดหมาย หลังจากเล่าเรื่องราวอันสลับซับซ้อน เขาได้รับการปลดปล่อยเมื่อได้ยินถึงพระเมตตาและการให้อภัยบาปของพระเจ้า

สดุดีบทที่ 32 นั้นเชื่อกันว่าเขียนโดยกษัตริย์ดาวิดหลังจากได้ทำบาปทางเพศ พระองค์ทรงกระทำความผิดที่แย่ไปอีกโดยวางแผนชั่วร้ายที่ทำให้สามีของหญิงนั้นถึงแก่ความตาย (ดู 2 ซมอ.11-12) แม้การกระทำที่น่าเกลียดนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ผลกระทบของมันยังคงอยู่ สดุดี 32:3-4 อธิบายถึงการดิ้นรนสุดกำลังที่พระองค์ทรงประสบก่อนจะยอมรับการกระทำที่น่าเกลียดของพระองค์เอง ผลกระทบที่กัดกินจากบาปที่ไม่ได้สารภาพนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้แล้วสิ่งใดหรือที่นำมาซึ่งการปลดปล่อย การปลดปล่อยเริ่มด้วยการสารภาพบาปต่อพระเจ้าและยอมรับการอภัยโทษบาปที่พระองค์ทรงมอบให้ (ข้อ 5)

ช่างเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเยี่ยมสำหรับเรา คือที่พระเมตตาของพระเจ้า เมื่อเราพูดหรือทำสิ่งที่ทำให้ตัวเราหรือผู้อื่นเจ็บปวดหรือเป็นอันตราย ความรู้สึกผิดของเราไม่จำเป็นต้องอยู่กับเราอย่างถาวร มีผู้หนึ่งที่ทรงกางแขนออกเพื่อต้อนรับเราเมื่อเรายอมรับผิดและแสวงหาการให้อภัยจากพระองค์ เราร่วมร้องไปกับคนเหล่านั้นได้ว่า “บุคคลผู้ซึ่งได้รับอภัยการละเมิดแล้วก็เป็นสุข คือผู้ทรงกลบเกลื่อนบาปให้นั้น” (ข้อ 1)

ทำหน้าที่ของเรา

เมื่อหลานของผมสองคนเข้าคัดตัวเพื่อแสดงละครเพลงเรื่องอลิซในแดนมหัศจรรย์จูเนียร์ พวกเธอหวังจะได้เป็นนักแสดงนำ แม็กกี้อยากเป็นสาวน้อยอลิซ ส่วนเคธี่คิดว่ามาทิลด้าเป็นบทบาทที่ดี แต่พวกเธอถูกเลือกให้เป็นดอกไม้ นั่นไม่ใช่ใบเบิกทางที่จะพาพวกเธอไปสู่เวทีบรอดเวย์เลย

แต่ลูกสาวผมบอกว่าพวกเธอ “ตื่นเต้นกับเพื่อนๆที่ได้รับ(บทนำ) พวกเธอดูจะยินดีกับการให้กำลังใจและร่วมตื่นเต้นไปกับเพื่อนๆ”

นั่นเป็นภาพที่เราควรปฏิสัมพันธ์กับพี่น้องในพระกายของพระคริสต์! คริสต-จักรท้องถิ่นทุกแห่งล้วนต้องมีผู้ที่มีบทบาทสำคัญ แต่ก็ยังต้องมีดอกไม้ คือผู้ที่มีความสำคัญแต่อาจไม่ได้ทำงานชิ้นสำคัญ ถ้าผู้อื่นได้รับบทบาทที่เราปรารถนา ขอให้เราหนุนใจพวกเขาและทำหน้าที่ที่พระเจ้ามอบหมายเราให้เต็มที่ที่สุด

ที่จริงการช่วยเหลือและหนุนใจผู้อื่นคือการแสดงความรักที่เรามีต่อพระเจ้า ฮีบรู 6:10 บอกว่า “[พระเจ้า]ไม่ทรง...ลืมการงานซึ่งท่านได้กระทำ เพราะความรักที่ท่านมีต่อพระนามของพระองค์คือการรับใช้ธรรมิกชนนั้น” และไม่มีของประทานใดของพระเจ้าที่ไม่สำคัญ “ตามซึ่งทุกคนได้รับของประทาน...แล้วก็ให้ใช้ของประทานนั้นเพื่อประโยชน์แก่กันและกัน เป็นผู้รับมอบฉันทะที่ดีที่...สำแดงพระคุณนานาประการของพระเจ้า” (1 ปต.4:10)

ลองคิดภาพคริสตจักรที่เต็มไปด้วยผู้หนุนน้ำใจ ซึ่งใช้ของประทานที่ได้รับอย่างแข็งขันเพื่อถวายเกียรติพระเจ้า (ฮบ.6:10) สิ่งนี้จะทำให้เกิดความชื่นชมยินดี!

มนุษย์มักจะลืม

หญิงคนหนึ่งบ่นกับศิษยาภิบาลว่า เธอสังเกตว่าเขาพูดซ้ำๆเวลาเทศนาอยู่บ่อยครั้ง “ทำไมอาจารย์ถึงทำแบบนั้น” เธอถาม นักเทศน์ตอบว่า “มนุษย์มักจะลืม”

มีหลายสาเหตุที่พวกเราลืม ทั้งกาลเวลา อายุที่มากขึ้น หรือยุ่งเกินไป เราลืมรหัสผ่าน ชื่อคน หรือแม้แต่จอดรถไว้ที่ไหน สามีของฉันพูดว่า “สมองของผมมีพื้นที่จำกัด ผมต้องลบบางอย่างทิ้งไป ก่อนที่จะจำสิ่งใหม่ได้”

นักเทศน์พูดถูก มนุษย์มักลืม ดังนั้นเราจึงต้องการเครื่องเตือนความจำเพื่อช่วยให้เราจดจำสิ่งที่พระเจ้าทรงทำเพื่อเรา ชนชาติอิสราเอลมีปัญหาเช่นเดียวกับเรา แม้ว่าพวกเขาได้เห็นการอัศจรรย์มากมาย แต่พวกเขายังต้องถูกเตือนอยู่เสมอว่าพระเจ้าทรงห่วงใยพวกเขา ในเฉลยธรรมบัญญัติบทที่ 8 พระเจ้าทรงเตือนชนชาติอิสราเอลว่า พระองค์ทรงอนุญาตให้พวกเขาเผชิญความหิวโหยในถิ่นทุรกันดาร แต่พระองค์เลี้ยงดูพวกเขาด้วยสุดยอดอาหารที่แสนอัศจรรย์ทุกวัน ซึ่งก็คือมานา พระองค์ทำให้เสื้อผ้าของเขาไม่เปื่อยยุ่ย พระองค์ทรงนำพวกเขาผ่านถิ่นทุรกันดารที่เต็มไปด้วยงูและแมลงป่อง และทรงประทานน้ำจากก้อนหิน พวกเขาเรียนรู้ความถ่อมใจเมื่อตระหนักว่าพวกเขาต้องพึ่งในการดูแลและเลี้ยงดูของพระเจ้าเท่านั้น (ข้อ 2-4, 15-18)

ความสัตย์สุจริตของพระเจ้า “ดำรงอยู่ทุกชั่วชาติพันธุ์” (สดด.100:5) เมื่อใดก็ตามที่เราหลงลืม พวกเราสามารถคิดถึงการที่พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของเรา และนั่นเตือนเราถึงความประเสริฐและพระสัญญาอันสัตย์ซื่อของพระองค์

ฝากผลลัพธ์ไว้กับพระเจ้า

หลายปีก่อนผมได้รับเชิญให้พูดกับกลุ่มผู้อาศัยในบ้านพักของมหาวิทยาลัย พวกเขาขึ้นชื่อว่าชอบโวยวาย ผมจึงพาเพื่อนไปคอยช่วย พวกเขากำลังอยู่ในอารมณ์เฉลิมฉลองเพราะเพิ่งได้ชัยชนะในการแข่งฟุตบอล ในช่วงอาหารเย็นความวุ่นวายก็ปะทุขึ้น ในที่สุดประธานของบ้านประกาศว่า “มีผู้ชายสองคนมาที่นี่เพื่อพูดเรื่องของพระเจ้า”

ผมลุกขึ้นด้วยขาที่สั่นระริกและเริ่มบอกพวกเขาถึงความรักของพระเจ้า และห้องก็เริ่มสงบลง ทุกคนฟังด้วยใจจดจ่อ ตามมาด้วยคำถามอย่างกระตือรือร้นและตรงไปตรงมา หลังจากนั้นเราได้เริ่มกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์ที่นั่น และหลายปีต่อมาหลายคนได้รับความรอดในพระเยซู

ผมรำลึกถึงหลายๆวันที่คล้ายกันนั้นที่ผม “ได้เห็นซาตานตกจากฟ้าเหมือนฟ้าแลบ” (ข้อ 18) แต่ก็มีอีกหลายวันที่ผมเป็นคนตกเสียเอง ล้มหน้าคว่ำ

ลูกาบทที่ 10 เล่าถึงสาวกที่กลับจากการทำพันธกิจและรายงานความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ มีหลายคนถูกนำเข้าสู่อาณาจักร ผีถูกขับออก และผู้คนได้รับการรักษา สาวกหัวใจพองฟู พระเยซูตรัสตอบว่า “เราได้เห็นซาตานตกจากฟ้าเหมือนฟ้าแลบ” จากนั้นทรงเตือนว่า “แต่ว่าอย่าเปรมปรีดิ์ในสิ่งนี้ คือที่พวกผีอยู่ใต้บังคับของพวกท่าน แต่จงเปรมปรีดิ์เพราะชื่อของท่านจดไว้ในสวรรค์” (ข้อ 20)

เรายินดีในความสำเร็จ แต่อาจรู้สึกสิ้นหวังเมื่อดูเหมือนว่าเราล้มเหลว จงทำสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกให้คุณทำต่อไป และฝากผลลัพธ์ไว้กับพระองค์ พระองค์ทรงมีชื่อของคุณอยู่ในหนังสือของพระองค์!

ผลิตผลที่แสนหวาน

ตอนที่เราซื้อบ้านนั้นเราก็ได้ครอบครองสวนองุ่นที่ปลูกไว้อย่างดี ในฐานะชาวสวนมือใหม่ ครอบครัวของเราทุ่มเวลาในการเรียนรู้ที่จะตัดแต่งกิ่ง รดน้ำ และดูแลสวน เมื่อการเก็บเกี่ยวครั้งแรกมาถึง ฉันเด็ดองุ่นจากพวงใส่ปากเพียงเพื่อจะพบความผิดหวังจากรสเปรี้ยวบาดใจ

ความหงุดหงิดใจที่ฉันรู้สึกจากการดูแลสวนองุ่นด้วยความอุตสาหะเพียงเพื่อจะได้ผลผลิตแย่ๆสะท้อนความรู้สึกในอิสยาห์บทที่ 5 ซึ่งเราได้อ่านเรื่องเปรียบเทียบถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับชนชาติอิสราเอล พระเจ้าในภาพของชาวสวนผู้ซึ่งปรับพื้นที่เนินเขาเก็บกวาดเศษขยะ ปลูกองุ่นพันธุ์ดี สร้างหอคอยเพื่อเฝ้าระวัง และสกัดบ่อย่ำองุ่นเพื่อชื่นชมกับผลผลิตของพระองค์ (อสย.5:1-2) เป็นความเศร้าใจของชาวสวนที่สวนองุ่นคือชนชาติอิสราเอลนั้น ให้ผลผลิตรสเปรี้ยวของความเห็นแก่ตัว ความอยุติธรรม และการกดขี่ (ข้อ 7) ในที่สุดพระเจ้าทรงฝืนพระทัยทำลายสวนนั้นแต่ทรงเก็บเถาองุ่นบางส่วนไว้ด้วย หวังว่าสักวันหนึ่งมันจะให้ผลผลิตที่ดี

พระเยซูใช้ภาพสวนองุ่นอีกครั้งหนึ่งในพระธรรมยอห์น ทรงตรัสว่า “เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นแขนง ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นจะเกิดผลมาก” (ยน.15:5) ในภาพเปรียบเทียบนี้ พระเยซูวาดภาพผู้เชื่อเป็นแขนงที่ติดอยู่กับพระองค์ซึ่งเป็นเถาองุ่น ในเวลานี้ขณะที่เรายังคงติดสนิทกับพระเยซูได้ผ่านการขะมักเขม้นอธิษฐานต่อพระวิญญาณของพระองค์เราจึงได้รับการบำรุงเลี้ยงฝ่ายวิญญาณโดยตรง ซึ่งจะช่วยให้เรามีผลผลิตที่หอมหวานที่สุด นั่นคือความรัก

Event

Edited 1

ทำลายบ้านนี้เสีย

ในเมืองพอนทิแอค รัฐมิชิแกน บริษัทรับรื้อถอนได้ทำลายอาคารผิดหลัง ผู้สืบสวนเชื่อว่าเจ้าของบ้านที่จะโดนรื้อได้เอาบ้านเลขที่ของตนไปติดที่บ้านของเพื่อนบ้านเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกรื้อถอน

พระเยซูทรงทำในทางตรงกันข้าม พระองค์เสด็จมาเพื่อพันธกิจที่จะให้ “บ้าน” ของพระองค์เองถูกทำลายเพื่อช่วยผู้อื่น ลองจินตนาการถึงภาพนั้นและคิดว่าทุกคนจะสับสนเพียงใดรวมถึงสาวกของพระเยซูด้วย นึกภาพพวกเขามองสบตากันเมื่อได้ยินพระองค์ท้าทายเหล่าผู้นำทางศาสนาว่า “ถ้าทำลายวิหารนี้เสีย” พระเยซูตรัส “เราจะยกขึ้นใหม่ในสามวัน” (ยน.2:19) เหล่าผู้นำโต้กลับด้วยความเดือดดาล “พระวิหารนี้เขาสร้างถึงสี่สิบหกปีจึงสำเร็จ และท่านจะยกขึ้นใหม่ในสามวันหรือ” (ข้อ 20) แต่พระเยซูรู้ว่าพระวิหารที่ทรงอ้างถึงคือพระกายของพระองค์เอง (ข้อ 21) แต่พวกเขาไม่รู้

พวกเขาไม่เข้าใจว่าพระองค์เสด็จมาเพื่อสำแดงให้เห็นว่า สิ่งเลวร้ายที่เราทำกับตัวเองและคนอื่นทั้งหมดจะตกอยู่กับพระองค์ในที่สุด พระองค์จะทรงชดใช้ให้ทั้งหมด

พระเจ้าทรงรู้ใจของเราดีกว่าตัวเราเองเสมอ ดังนั้นพระองค์จึงไม่ทรงวางใจบอกถึงแผนการทั้งหมดของพระองค์กับใครแม้แต่ผู้ที่ได้เห็นการอัศจรรย์ของพระองค์และเชื่อในพระองค์ (ข้อ 23-25) และในเวลานี้พระเจ้ายังคงค่อยๆเปิดเผยให้เราเห็นถึงความรักและความประเสริฐจากคำตรัสของพระเยซู ซึ่งเราไม่อาจเข้าใจได้เมื่อพระองค์ทรงบอกกับเรา

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา